วันอาทิตย์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2557


Bouddha assis

๑.ปางประสูติ ( Le Bouddha naissant)

ประติมากรรมพุทธประวัติปางประสูตร วัดพรหมวงศาราม กรุงเทพมหานคร พระนางสิริมหามายา (พุทธมารดา) ในพระอิริยาบถยืน พระหัตถ์ขวาทรงเหนี่ยวกิ่งสาละ พระบรมโพธิสัตว์อยู่อิริยาบถยืน พร้อมด้วยบรรดาข้าราชบริพาร บางแบบมีพระพรหม พระอินทร์ และเหล่าเทวดาล้อมอยู่ด้วย

ความเป็นมาของปางประสูติ

พระบรมโพธิสัตว์จุติจากดุสิตเทวโลก เสด็จปฏิสนธิในพระครรภ์พระนางสิริมหามายา อัครมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะแห่งกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ เมื่อพระนางทรงพระครรภ์แก่ได้เสด็จกลับไปคลอดที่กรุงเทวหะ ซึ่งเป็นบ้านเกิดตามธรรมเนียม ครั้นเสด็จถึงลุมพินีวันซึ่งอยู่ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์และกรุงเทวหะ ในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ (วันศุกร์ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖) ในเวลาใกล้เที่ยง พระนางก็ประสูติพระราชโอรส ณ โคนต้นสาละ ในพระอิริยาบถยืน พระหัตถ์ขวาเหนี่ยวกิ่งสาละ เมื่อประสูติพระราชกุมารก็อยู่ในอิริยาบถยืนหันพระพักตร์ไปทางทิศเหนือ เสด็จย่างพระบาทไป ๗ ก้าว มีดอกบัวผุดขึ้นมารองรับ ๗ ดอก แล้วทรงกล่าววาจาอันองอาจว่า "เราเป็นผู้เลิศในโลก เราเป็นผู้เจริญที่สุดในโลก เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุดในโลก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้การเกิดใหม่มิได้มี"

http://www.dhammathai.org/pics/6x1gray.gif

http://www.dhammathai.org/imagebuddha/2.gif
๒.ปางมหาภิเนษกรมณ์ ( Le Bouddha paré, à dos de cheval)
ประติมากรรมพุทธประวัติปางมหาภิเนษกรมณ์ วัดไผ่โรงวัว จังหวัดสุพรรณบุรี เจ้าชายสิทธัตถะทรงม้ากัณฐกะ มีนายฉันนะ เกาะหลังม้าตามเสด็จ ขาม้าทั้ง ๔ ขา มีท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ ประจำอยู่ นำพระองค์เหาะข้ามกำแพงพระนครออกไปด้วยปาฏิหารย์
ความเป็นมาของปางมหาภิเนษกรมณ์
พระราชกุมาร ทรงพระนามว่าเจ้าชายสิทธัตถะ พระองค์ทรงได้รับคำทำนายจากดาบสและพราหมณ์ผู้เชี่ยวชาญในพระเวทว่าจะเสด็จออกบรรพชา และตรัสรู้ธรรมเป็นศาสดาเอกของโลก เมื่อทรงเจริญวัย ทรงศึกษาศิลปศาสตร์ ๑๘ ประการจนสำเร็จ ทรงอภิเษกกับพระนางพิมพา และมีพระโอรสพระนามว่า ราหุล เจ้าชายสิทธัตถะทรงตระหนักถึงทุกข์จากความแก่ ความเจ็บ ความตาย ซึ่งย่ำยีสรรพสัตว์โดยไม่ยกเว้น จึงทรงตัดสินพระทัยเสด็จหนีออกบรรพชา โดยเสด็จขึ้นหลังม้ากัณฐกะและมีนายฉันนะตามเสด็จ




๓ ปางทรงตัดพระเมาลี ( Le Bouddha coupant son chignon)
ปางทรงตัดเมาลี เป็นรูปพระโพธิสัตว์เจ้าชายสิทธัตถะอยู่ในพระอิริยาบถประทับ (นั่ง) บนพระแท่นพระหัตถ์ซ้ายทรงรวบพระเมาลีไว้ พระหัตถ์ขวาทรงพระขันค์ทำอาการทรงตัดพระเมาลี มีนายฉันนะและม้ากัณฐกะอยู่ด้านหลัง

http://www.dhammathai.org/pics/6x1gray.gif
๔ ปางทุกกรกิริยา  ( Le Bouddha ascète)
http://www.photikhun.org/images/column_1280152839/3.jpg

พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ทั้งสอง ซ้อนกันวางบนพระเพลา พระหัตถ์ขวาทับพระหัตถ์ซ้าย อุตตราสงค์ (จีวร) อยู่บนพระอังสาเล็กน้อย ข้างขวาหลุดลง มาวางอยู่บนพระเพลา พระวรกายซูบผอม จนพระอัฐิ พระนหารู ปรากฎชัด ฯ ครั้นทรงศึกษาในสำนักของอาฬารดาบส และอุทกดาบสแล้ว ก็ทรงเห็นว่ามิใช่หนทางพ้นทุกข์ ก็ทรงบำเพ็ญเพียรด้วยพระองค์เอง เรียกว่า ทุกกรกิริยา โดยการทรมานตนให้ลำบาก 3 วาระ คือ:-
1.ทรงกดพระทนต์ด้วยพระทนต์ กดพระตาลุด้วยพระชิวหา ไว้ให้แน่นจนเหงื่อไหลออกทางพระกัจฉา ได้รับทุกขเวทนา เหมือนคนกำลังมากบีบศีรษะหรือคอของคน ที่มีกำลังน้อยกว่าฉะนั้น ฯ
2.ทรงผ่อนลมอัสสาสะปัสสาสะ เมื่อลมเดินไม่สะดวกทาง พระนาสิกและพระโอฐก็เกิดเสียงอู้ทางพระกรรณทั้งสองข้าง ทำให้ปวดพระเศียร เสียดในอุทรและร้อนไปทั่วพระวรกาย ฯ
3.ทรงอดอาหาร ผ่อนเสวย ลดอาหารลงทีละน้อย ในที่สุด ก็ไม่เสวย จนพระวรกายเหี่ยวแห้ง พระฉวีเศร้าหมอง พระอัฐิปรากฎทั่วพระวรกาย ฯ แม้จะทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยา อยู่นานถึง 6 ปี แต่ก็ยังไม่บรรลุ หลังจากนั้นก็ทรงเปลี่ยนมา บำเพ็ญทางจิตปฏิบัติปานกลางไม่ตึงและหย่อนเกินไป
ปางรับมธุปายาส ( Le Bouddha  recevant du  riz tendre cuit dans le lait de vache)
http://www.photikhun.org/images/column_1280152839/5.jpg
   พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ แบพระหัตถ์ทั้งสองข้างยื่นออกไปข้างหน้า เป็นกิริยารับมธุปายาส ฯ นางสุชาดาปรุงข้าวมธุปายาสอันประณีตเพื่อไปแก้บนเทวารักษ์ ที่ได้บนบานไว้ว่า ขอให้ได้สามีผู้มีสกุลเสมอกันและขอให้ได้ บุตรชายคนแรก เมื่อไปเห็นพระมหาบุรุษนั่งอยู่ใต้ต้นนิโครธ ก็สำคัญว่าเป็นรุกขเทวดา จึงน้อมถาดข้าวมธุปายาสไปถวาย แล้วทูลว่า ความปรารถนาของหม่อมฉันสำเร็จฉันใด ขอสิ่งที่พระองค์ท่านปรารถนาจงสำเร็จเถิด (อาหารบิณฑบาต ที่ถวายพระตถาคตใน 2 ครั้ง คือ เมื่อเสวยแล้วได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ และอาหารที่ฉันก่อนเสด็จปรินิพพาน จัดว่าเป็นทานมีผลมาก มีอานิสงส์มากกว่า บิณฑบาตทั้งหลาย ฯ



๖. ปางเสวยมธุปายาส ( Le Bouddha mangent du  riz  tendre cuit dans le lait de vache  )
http://public.blu.livefilestore.com/y1pgPzhaYCKytAx4seSo7WjQnR84q3WYP8E455Rr2mG0NQQmfPCWnRE5dBabNICD00-zCwPEkmhMGxA5uETNRauOg/6.jpg?psid=1
     พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้าย ประคองถาดมธุปายาส พระหัตถ์ขวาวางบนถาด แสดงนิ้วพระหัตถ์ ด้วยอาการหยิบข้าวมธุปายาสปั้นเสวย ฯ เมื่อนางสุชาดาทูลลากลับไปแล้ว พระองค์ทรงถือถาดเสด็จไป สู่ฝั่งแม่น้ำเนรัญชราประทับที่ริมฝั่ง ผินพระพักตร์ไปทางทิศบูรพาพระหัตถ์ซ้ายประคองถาดมธุปายาสพระหัตถ์ขวาทรงปั้นข้าว มธุปายาสเป็นปั้น ๆ ได้ 49 ปั้น แล้วเสวยจนหมด ฯ
๗. ปางลอยถาด ( Le Bouddha abandonnant la coupe au fil de leau)
http://public.blu.livefilestore.com/y1p9K1jsHcMeFoLVy7KDp_XOv6rKwrMeSZdX0-WQw__9CZJvrBN78zNyU-wQMODFMBggoyzWHPOfnCzn2X7nMqT1Q/7.jpg?psid=1
   พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถนั่งคุกเข่าทั้งสองลงกับพื้น พระหัตถ์ซ้ายวางที่พระเพลาข้างซ้ายเป็นอาการค้ำพระกายให้ตั้งมั่น ทอดพระเนตรลงต่ำ พระหัตถ์ขวาทรงจับถาด ทำกิริยาวางลงในน้ำ ฯ ครั้นเสวยเสร็จ ก็ถือถาดลงไปสู่แม่น้ำ แล้วตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าจะได้ ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ขอให้ถาดทองนี้จงลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไปเถิด ด้วยอานุภาพของมหาบุรุษ ถาดทองนั้น ได้ลอยทวนกระแสน้ำไปประมาณ 1 เส้น แล้วก็จมลง ฯ
๘. ปางรับหญ้าคา ( Le Bouddha recevant leYa Kha)
http://public.blu.livefilestore.com/y1pv7hiiY0cM9ljZQxVBX7kGM6meOJdaga0phHYjI4nT1FWy-0L4lDo4wFVPhCHVcZdBgNAG9pc72fcgcVU0TbLnA/8.jpg?psid=1

พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถยืน พระหัตถ์ซ้ายห้อยลงข้าง พระกาย พระหัตถ์ขวายื่นออกไปข้างหน้า เป็นกิริยารับหญ้าคา บางแบบถือหญ้าคาก็มี ฯ ในระหว่างทางที่จะเสด็จไปสู่ร่มไม้สัตถโพธิพฤกษ์ โสตถิยพราหมณ์ พบพระมหาบุรุษแล้วเกิดความเลื่อมใส จึงถวายหญ้าคา 8 กำ พระองค์ทรงรับแล้วเสด็จไปยังร่มไม้อสัตถะด้านทิศปราจีน ทรงวางหญ้าคา 8 กำ ลงที่โคนต้นอสัตถะนั้น แล้วทรงอธิษฐานว่า จะประทับนั่งบำเพ็ญเพียรจนกว่าจะตรัสรู้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฯ
ปางสมาธิ  ( Le Bouddha en méditation)
 ปางสมาธิ เป็นพระพุทธรูปลักษณะนั่งสมาธิ นั่งลำพระองค์ตั้งตรงพระบาท (เท้า) ทั้งสองซ้อนกัน โดยพระบาทขวาซ้อนทับอยู่บนพระบาทซ้าย พระหัตถ์ทั้งสองวางซ้อนหงายกันบนพระเพลา (ตัก) โดยวางพระหัตถ์ขวาซ้อนหงายอยู่บนพระหัตถ์ซ้าย (ท่าสมาธิราบ ขาขวาทับขาซ้าย) จัดเป็น "ปฐมปาง" หรือปางที่ให้กำเนิดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยพระองค์ทรงอยู่ในพระอิริยาบถนี้ในคืนวันตรัสรู้ เรียกได้อีกอย่างว่าปางตรัสรู้ หรือเป็นพระพุทธรูปในอิริยาบถประทับนั่งสมาธิโดยใช้ข้อพระบาททั้งสองข้างขัดกันซึ่งเรียกว่า (ปางขัดสมาธิเพชร)

๑๐. ปางมารวิชัย ( Le Bouddha victorieux de Mara)
http://public.blu.livefilestore.com/y1pqOepiQZjaljXpxRc10JHJn-lukQRXg_A9c7Qp9pVQ5E_hBDFCp1CWo7Z_LzqP4xuz7iJDsCzpYQkiWW4zwGzrQ/9.jpg?psid=1
      พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายหงาย วางบนพระเพลา พระหัตถ์ขวาวางที่พระชานุ นิ้วพระหัตถ์ชี้ ลงที่พื้นธรณี ปางนี้เริ่มนิยมทำพระรัศมีบนพระเศียรแล้ว ฯ เมื่อทรงอธิษฐานเสร็จ เหล่าเทพยดาและพรหมทุกสถาน ต่างก็แซ่ซ้องสาธุการ แต่พญามารวัสวดี กลับพิโรธริษยา ไม่ต้องการให้พระองค์ตรัสรู้ จึงนำกองทัพมาร มาล้อมเขตบัลลังก์รัตน์ของพระองค์ไว้ แต่ก็มิได้ทำให้พระองค์ ผู้ทรงด้วยบารมี 30 ทัศหวั่นไหว ยิ่งทำให้พญามารพิโรธยิ่งขึ้น และได้กล่าวกะพระมหาบุรุษว่า บัลลังก์แก้วเป็นของเรา ท่านผู้ไม่มีบุญจงลุกไป พระองค์จึงตรัสตอบว่า บัลลังก์เกิดขึ้นด้วยบุญเราแล้วจึงเรียกนางวสุนธราเจ้าแห่งธรณี มาเป็นพยาน นางจึงปรากฎกายทำอัญชลีถวายอภิวาทแล้วประกาศให้พญามาร ทราบว่า พระมหาบุรุษได้บำเพ็ญบุญกุศลมากมาย เพียงแค่ น้ำกรวดที่ข้าพเจ้าเอามวยผมรองรับไว้บนเศียรเกล้า ก็มากพอ เป็นหลักฐานได้ เมื่อกล่าวเสร็จ นางก็บีบน้ำกรวดที่สะสมไว้ให้ ไหลออกมาเป็นทะเลหลวง ท่วมทับเหล่าพญามารให้ถอยร่นไป ฯ
        ๑๑. ปางถวายเนตร  ( Le Bouddha renonçant à ses yeux)
http://public.blu.livefilestore.com/y1pKLszQEeDVpGn-q63NnXvAEztClfLPW-w_LVRVhz5M-l0CK3x-LPbNGblV1qDLKHMoMI8IDG_M4Qng_uaI_Scug/11.jpg?psid=1

พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถยืน ลืมพระเนตรทั้งสองเต็มที่ ทรงทอดพระเนตรดูมหาโพธิพฤกษ์ พระหัตถ์ทั้งสองห้อยลงมาประสานทับกันอยู่หน้าพระเพลา พระหัตถ์ขวาทับพระหัตถ์ซ้าย อยู่ในอาการสำรวมฯ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมา สัมโพธิญาณแล้วประทับเสวยวิมุติสุขอยู่ที่ร่มมหาโพธิ์ 7 วัน แล้วก็เสด็จออกจากร่มไม้มหาโพธิ์ ไปประทับยืนกลางแจ้งทางทิศอีสานของต้นมหาโพธิ์นั้น ทรงทอดพระเนตร ต้นมหาโพธิ์โดยไม่กระพริบพระเนตรด้วยพระอิริยาบถนั้นถึง 7 วัน สถานที่ประทับยืนด้วยอิริยาบถนั้นเป็นนิมิตมหามงคล เรียกว่า "อนิมิสสเจดีย์" ฯ
๑๒. ปางจงกรมแก้ว ( Le Bouddha marchant et méditant)
http://public.blu.livefilestore.com/y1pGQR18kvbvAhVi8E7jDGg7_LtYIHCf7XMKvXsubMDHoMBIj6VHiRrXn4nAag-xIvxw_q-HaQzRuK46ZCOkBPfgg/12.jpg?psid=1

พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถยืน ยกพระบาทขวาก้าว เหยียบพื้นยกส้นพระบาทซ้ายขึ้นปลายพระบาทจรดพื้นแสดงอาการก้าวเดินจงกรมพระหัตถ์ทั้งสองห้อยลงมาประสานกันอยู่ที่หน้าพระเพลา ทอดพระเนตรลงต่ำอยู่ในอาการสังวร อันเป็นการเดินอย่างมีสติกำกับทุกก้าวพระบาท ฯ หลังจากที่เสด็จออกจากอนิมิสสเจดีย์ กลับมาประทับอยู่ที่ กึ่งกลางระหว่างอนิมิสสเจดีย์กับต้นมหาโพธิ์ เสด็จจงกรมอยู่ ณ ที่นั้นเป็นเวลา 7 วัน สถานที่นั้น เป็นนิมิตมหามงคล เรียกว่า "จงกรมเจดีย์" ฯ
๑๓. ปางเรือนแก้ว ( Le Bouddha méditant dans sa maison de cristal créée par les divinités)
http://public.blu.livefilestore.com/y1pUeiDIlzMHePpkUovefSMo9VUMGGZZA-FuORNiuO5fsH_mf9CvvasNROgSYJjwHEjAFa8zCirl-g9OogmSaaxlw/13.jpg?psid=1

พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิอยู่ในเรือนแก้ว หงายพระหัตถ์ทั้งสองซ้อนกันวางบนพระเพลา มีเรือนแก้วรอบพระกาย บางแห่งสร้างแบบขัดสมาธิเพ็ชรประทับนั่งอยู่ในเรือนแก้ว ฯ เมื่อเสร็จการเสด็จจงกรม 7 วันแล้ว พระองค์ก็เสด็จออกจากจงกรมเจดีย์ ไปทางทิศพายัพของต้นมหาโพธิ์ ประทับนั่งสมาธิในเรือนแก้ว ซึ่งเทพดานิรมิตรถวายทรงพิจารณาพระอภิธรรม ณ เรือนแก้วนั้น 7 วัน สถานที่ประดิษฐานเรือนแก้วเป็นนิมิตมหามงคล เรียกว่า "รัตนฆรเจดีย์" ฯ
๑๔. ปางห้ามมาร (Le Bouddha donnant l’exemple de résistance à Mara)
http://public.blu.livefilestore.com/y1pDYXlFq_xrKM9lTaJGMq88l3crwq4yBR_bNvrr13Is4PLNoYqcpFul82ZHNcrXm3HTuTnnFSXZi97DxtR5x5qyw/60.jpg?psid=1
    พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายวางอยู่บนพระเพลา พระหัตถ์ขวาแบฝ่าพระหัตถ์ ยกขึ้นตั้งเสมอพระอุระ เป็นกิริยาห้าม ฯ เมื่อพระอานนท์ไม่ทูลอาราธนา มารจึงได้โอกาสเข้าเฝ้าพระศาสดา แล้วยกเนื้อความแต่ปางหลังที่พระองค์ทรงอธิษฐานว่า ถ้าเหล่าพุทธ ได้เข้าถึงธรรมและทรงสามารถประกาศพระศาสนา สำเร็จประโยชน์แก่มหาชนแล้ว จึงจะปรินิพพาน และบัดนี้ปริสสมบัติและพรหมจรรย์ก็สมบูรณ์ดังพระประสงค์ทุกประการแล้ว บัดนี้เป็นกาลปรินิพพาน ของพระพุทธเจ้าแล้ว เมื่อมารกล่าวดังนี้แล้ว พระองค์จึงตรัสห้ามมารว่า ดูกรมาร ผู้มีใจบาป ความปรินิพพานของตถาคตจักมีไม่ช้า แต่นี้ไปอีก 3 เดือน พระตถาคตก็จักปรินิพพาน ฯ






๑๕. ปางนาคปรก (Le Bouddha abrité sous le Naga)
http://public.blu.livefilestore.com/y1prqOHMFI0j4WIUWZoITcAiPVw4mKdoVSNr2yo_OaTsi6HSSNicuR2N3oWwcQEHMBPwNNlEJtlRjkl8FBTcP3zqw/14.jpg?psid=1
     พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ หงายพระหัตถ์ ทั้งสองวางซ้อนกันบนพระเพลา มีพญานาคแผ่พังพานปกคลุมเบื้องบนพระเศียรบางแห่งสร้างเป็นแบบขัดสมาธิเพชร ฯ เมื่อเสด็จประทับยืนเสวยวิมุติสุข ณ ร่มไม้ อชปาลนิโครธ 7 วันแล้วพระผู้มีพระภาคเจ้าก็เสด็จไปประทับนั่งเสวยวิมุติสุขยังร่มไม้จิก ชื่อมุจจลินท์ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศอาคเณย์ของต้นมหาโพธิ์นั้น บังเอิญในวันนั้นเกิดมีฝนตกพรำอยู่ไม่ขาดสายตลอด 7 วัน พญามุจจลินท์นาคราชออกจากพิภพ ทำขนดล้อมพระวรกาย 7 ชั้น แล้วแผ่พังพานใหญ่ปกคลุมเบื้องบน เหมือนกั้นเศวตรฉัตร ถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยความประสงค์ มิให้ฝนลมหนาวถูกต้องพระวรกาย ฯ
๑๖. ปางฉันสมอ (Le Bouddha mangeant un Samor)
http://public.blu.livefilestore.com/y1pytWmFR42vwvWZ9eimokDwoWVkAx5JzaG0rBuy4IcUpA6PCP1rEpzF_XkTHo4pKB34qefeYM_ZvyUZr2AuX2wzQ/15.jpg?psid=1
 พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายหงายวางบนพระเพลา พระหัตถ์ขวาทรงถือผลสมอและหงายพระหัตถ์วางที่พระชานุเป็นกิริยาเสวยผลสมอ ฯ เมื่อพระองค์ประทับเสวยวิมุติสุข ณ ร่มไม้จิก ชื่อมุจลินท์ ครบ 7 วันแล้วก็เสด็จไปประทับยังร่มไม้เกต ชื่อราชายตนะ อันตั้งอยู่ในทิศทักษิณแห่งต้นมหาโพธิ์นั้น เสวยวิมุติสุขอีก ตลอด 7 วัน ครั้นล่วง 7 วันเวลาเช้าจึงเสด็จออกจากสมาธิวิหารทรงประดิษฐาน ณ ที่นั้น ครั้งนั้นท้าวสักกะอมรินทราธิราชทรงดำริว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยวิมุติสุขถึง 7 สัปดาห์ นับแต่วันตรัสรู้มาถึงวันนี้รวมเป็น 49 วันแล้ว ยังมิได้เสวย พระกระยาหารเลย จึงนำผลสมออันเป็นทิพยโอสถน้อมเข้า ไปถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงรับไว้ และเสวยผลสมอนั้น ฯ
๑๗. ปางประสานบาตร (Le Bouddha tenant un bol dans ses mains)
http://public.blu.livefilestore.com/y1pAl4rh4l0f7jQqSKjvFI4lxxxM1HWrHEE13R9t4Ra70Pro_S7_PmhNVuFDGQzCNuJq0frz4YoEsbZrt0yJigZ3g/16.jpg?psid=1
    พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายประคองบาตรซึ่งวางอยู่บนพระเพลา ยกฝ่าพระหัตถ์ขวาขึ้นวางปิดปากบาตร เป็นกิริยาทรงอธิษฐานประสานบาตร ฯ พ่อค้าเกวียน 2 คือ ตปุสสะ กับภัลลิกะ ได้เดินทางไปค้าขาย ตามเมืองต่าง ๆ และได้ผ่านมาพบพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็เกิดความเลื่อมใส จึงได้น้อมถวายข้าวสัตตุก้อนสัตตุผง แต่เนื่องจากพระองค์ไม่มีบาตร ในกาลนั้นท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 จึงได้นำบาตรทำด้วยศิลามีสีเขียว มาจากทิศทั้ง 4 น้อมถวาย แด่พระองค์เพื่อรักษาศรัทธาปสาทะพระองค์จึงรับทั้ง 4 แล้ว ทรงอธิษฐานเข้าเป็นลูกเดียวกัน ฯ
๑๘.ปางรับสัตตุก้อนสัตตุผง (Le Bouddha recevant des gâteaux de riz )
http://public.blu.livefilestore.com/y1pJkCoGIHldq2JhBsR8MV1qz_vsrjFz3t2_0CoNtVMXo25Avw5Vfot_yuoI_s1-yaMvjFql_FZfxy7c-8CqTcQ1g/17.jpg?psid=1

พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ ทั้งสองประคองบาตร ซึ่งวางอยู่บนพระเพลา ทอดพระเนตร ลงต่ำ เป็นกิริยารับสัตตุก้อนสัตตุผง ฯ ครั้นประสานบาตรทั้ง 4 เป็นลูกเดียวกันแล้ว ก็ทรงรับ สัตตุก้อนสัตตุผงของพ่อค้าทั้ง 2 คน และทรงทำภัตตกิจในเวลานั้น ฯ

๑๙.ปางพระเกศธาตุ (Le Bouddha passant la main dans ses cheveux)
http://public.blu.livefilestore.com/y1pDFI5sH7kKuAOdsp8CcUrKor51PZT96Ds4_HrGyD0zw0spQpzmTYNhOKOUPR20Xh0G4Qap9zYRWt-MOgOGfno4A/18.jpg?psid=1
        พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายหงายวางบนพระเพลา ยกฝ่าพระหัตถ์ขวาขึ้นแนบพระเศียร เป็นกิริยาเสยพระเกศา ฯ เมื่อเสร็จการเสวยแล้ว ตปุสสะ และภัลลิกะ ก็ขอถึงพระพุทธองค์กับพระธรรมเป็นสรณะ พระองค์จึงยกพระหัตถ์ขวาขึ้นลูบ พระเศียรเกล้า ได้พระเกศา 8 เส้น นิยมเรียกว่า พระเกศธาตุ แล้วทรงประทานแก่พ่อค้าทั้งสอง ฯ
๒๐.ปางรำพึง (Le Bouddha en contemplation)
http://public.blu.livefilestore.com/y1pv5t_aYTMOGoprxIorDYzXFki9FmDR0h31A1sMMAFuCjZ3FwivtHPdNx7F7JyZ0SINnpsvHYptpLP-DpY-9VnVQ/19.jpg?psid=1
พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถยืน พระหัตถ์ทั้งสองประสานยกขึ้นประทับที่พระอุระ พระหัตถ์ขวาทับพระหัตถ์ซ้ายเป็นกิริยารำพึงฯ เมื่อตปุสสะกับภัลลิกะทูลลาไปแล้ว พระองค์ก็เสด็จไปประทับยืนที่ใต้อชปาลนิโครธและได้ทรงรำพึงถึงธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้แล้วนั้นว่า เป็นธรรมประณีตละเอียด สุขุมคัมภีรภาพยากที่บุคคลจะรู้ได้ ถึงกับดำริจะไม่แสดงธรรมแก่มหาชน แต่เมื่อทรงรำพึงถึงธรรมเนียมของพระพุทธเจ้าทั้งหลายแต่ปางก่อนว่า ได้ตรัสรู้แล้วย่อมแสดงธรรมโปรดประชากร ประดิษฐานพระพุทธศาสนาให้แผ่ไพศาลจนถึงเสด็จปรินิพพาน จึงได้น้อมพระทัยไปในการแสดงธรรม และทรงพิจารณาอีกว่า อุปนิสัยของสัตว์โลกย่อมแตกต่างกัน เปรียบเหมือนดอกบัว 4 เหล่า ดอกบัวที่อยู่เหนือน้ำ จักบานทันทีเมื่อสัมผัสแสงอาทิตย์ ดอกบัวที่อยู่เสมอน้ำ และใต้น้ำ ก็จะบานในวันต่อ ๆ มา แต่ดอกบัวที่อยู่ใต้โคนตม กว่าจะมีโอกาสชูดอกมาอยู่เหนือน้ำ อาจจะเป็นอาหารของเต่าและปลาไปก่อนก็ได้ เมื่อพิจารณาดังนั้น จึงทรงอธิษฐานพระทัยในอันจะแสดงธรรมสั่งสอนมหาชน ฯ
๒๑.ปางปฐมเทศนา (Le Bouddha prêchant son premier sermon)
http://public.blu.livefilestore.com/y1pJO8FzlgHhup9Pfz6QASfL4gXZFJJsJ7B71T2Xm3B1Sdp5A8A3ICabalddlE_wUO6KZWxq8fihxDvzUBfchOLzw/20.jpg?psid=1
  พระพุทธรูปปางนี้อยู่ในอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ขวายกขึ้นจีบนิ้วพระหัตถ์เป็นวงกลม เป็นกิริยาแสดงธรรม พระหัตถ์ซ้ายวางบนพระเพลา ฯ เมื่อทรงมั่นพระทัยที่จะแสดงพระธรรมโปรดเวไนยสัตว์แล้วก็ทรงรำพึงพิจารณาหาบุคคลผู้สมควรที่พระองค์จะทรงแสดงธรรมโปรด ตอนแรกทรงนึกถึงดาบสทั้งสอง ซึ่งพระองค์ได้ทรงไปศึกษาด้วยเมื่อทรงผนวชใหม่ ๆ แต่อาจารย์ทั้งก็ได้สิ้นชีวิตไปแล้ว ต่อจากนั้นทรงระลึกถึงปัญจวัคคีย์ ที่เคยอุปัฎฐากครั้งที่ทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยา ครั้นทรงเลิกทุกกรกิริยา ด้วยทรงเห็นว่ามิใช่ทางตรัสรู้ แต่ทรงปฏิบัติในทางจิตตามมัชฌิมาปฏิปทา ปัญจวัคคีย์เห็นว่า พระองค์คลายความเพียรเวียนมาเป็นคนมักมาก จึงไม่เลื่อมใส แล้วพากันหนีไป ทรงเห็นว่าปัญจวัคคีย์มีอินทรีย์แก่กล้าที่จะ ได้ธรรมอันวิเศษ จึงเสด็จไปสู่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันอันเป็นที่อยู่ของปัญจวัคคีย์ ครั้นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 พระองค์ทรงแสดง "ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร" อันเป็น "ปฐมเทศนา" โปรดภิกษุทั้ง 5 ประกาศความตรัสรู้ของพระองค์ว่า "กามสุขัลลิกานุโยค คือ การประกอบตนให้พัวพันด้วยความสุขในกามกับอัตตกิลมถานุโยค คือการทำความทุกข์ยากให้แก่ผู้ประกอบทั้งสองนี้ ไม่เป็นประโยชน์ ไม่ใช่การตรัสรู้ บรรพชิตไม่ควรเสพ ส่วนมัชฌิมาปฏิปทาข้อปฏิบัติเป็นทางกลาง ที่เราตรัสรู้แล้ว เป็นเพื่อความสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความรู้ดี เพื่อนิพพาน คือสิ้นตัณหา เครื่องรัดรึง เป็นธรรมที่บรรพชิตควรดำเนินด้วยเป็นทางทำผู้ดำเนินให้เป็นพระอริยะ" ฯ
๒๒.ปางประทานเอหิภิกขุ (Le Bouddha procédant à l’ordination de ses premiers disciples)
http://public.blu.livefilestore.com/y1ppRLE5uTKYQG3Ak32Rszxmg1d4amyH-c1yrHEKLPjI2Cn9-o9-B9OmPf5lRU1afei3kkYuL2JrK4nv8xrxDeRyg/21.jpg?psid=1
  พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายหงายวางบนพระเพลา พระหัตถ์ขวายกขึ้นตั้ง ฝ่าพระหัตถ์ตรงออกไป งอนิ้วพระหัตถ์ลงหน่อย เป็นกิริยาทรงกวัก ฯ เมื่อโกณฑัญญะ ได้ดวงตาเห็นธรรม เป็นพระโสดาบันและได้ทูลขออุปสมบทในธรรมวินัยด้วยวาจาว่า "ท่านจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว ท่านจงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด" ด้วยพระวาจาที่ ตรัสเพียงเท่านี้ พระโกณฑัญญะก็สำเร็จเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ฯ
๒๓.ปางภัตตกิจ (Le Bouddha se nourissant)
http://ecpvua.blu.livefilestore.com/y1pit_z4HXmcyVBDFV5gbRL2Z5L8ucOXghkVpeXVGIHktDQDE--7lTyWhU_WyCIPmtXqp8OrSPUXbFlfJkNSVyRv-iGxBEW5VT5/22.jpg?psid=1

พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้าย ประคองบาตรซึ่งวางอยู่บนพระเพลา พระหัตถ์ขวาหย่อนลงในบาตรเป็นกิริยาเสวย ฯ สมัยหนึ่ง ยสะกุลบตรเกิดความเบื่อหน่ายในชีวิตฆราวาส จึงเปล่งคำว่า "ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ" ในขณะนั้นพระศาสดาทรงเสด็จจงกรมอยู่ ได้ยินเสียงเช่นนั้น จึงตรัสตอบว่า "ที่นี่ ไม่วุ่นวายหนอ ที่นี่ไม่ขัดข้องหนอ มาที่นี่เถิด เราจะแสดงธรรมให้ฟัง" ยสะมาณพได้ฟังดังนั้นก็พอใจ จึงเข้าไปถวายบังคมและนั่งฟังธรรม ณ ส่วนข้างหนึ่ง เมื่อจบเทศนา ยสะมาณพได้บรรลุพระโสดาปัตติผล และต่อมาก็บรรลุอรหันต์และทูลขออุปสมบท พระองค์ก็ประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาว่า "ท่านจงเป็นภิกษุ มาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว ท่านจงประพฤติพรหมจรรย์"ในที่นี้ไม่ตรัสคำว่า เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ เพราะพระยส ได้ถึงที่สุดทุกข์แล้ว ในเวลาเช้าวันนั้น พระองค์กับพระยสะ ได้เสด็จไปสู่เรือนของพระยสะ และได้ทำภัตตกิจที่เรือนนั้น พระพุทธจริยาที่ทรงทำภัตตกิจครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่ทรงทำ ภัตตกิจในบ้าน ฯ
๒๔.ปางห้ามสมุทร (Le Bouddha maitrisant les eaux)
http://public.blu.livefilestore.com/y1pP1M-KQ_FTCqVs2BeDZjdOXYm6s9Cli_0xNLUG4eTEjf5hd8bMDa4zmAK7kQe8R3t8BF1Fw7bHB7OOiULDkWJew/23.jpg?psid=1

พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถยืน พระหัตถ์ทั้งสองข้างยกขึ้นเสมอพระอุระ ตั้งฝ่าพระหัตถ์ยื่นออกไปข้างหน้าเป็นกิริยาห้าม ฯ หลังจากที่พระองค์ได้ส่งสาวกไปประกาศพระศาสนา ส่วนพระองค์ก็เสด็จไปสู่สำนักของชฎิล 3 พี่น้อง ผู้เป็นที่เคารพนับถือของมหาชนในมคธรัฐเป็นอันมาก ต่อมาก็ทรงทรมานพญานาคในโรงไฟอันเป็นที่นับถือของชฎิลให้สิ้นฤทธิ์ และครั้งสุดท้ายทรงทำปาฏิหาริย์ห้ามน้ำ ซึ่งไหลบ่ามาจากทิศต่าง ๆ ท่วมสำนักของชฎิลมิให้เข้ามาในที่พระองค์ประทับอยู่ พระองค์เสด็จจงกรมภายในวงล้อมของน้ำที่ท่วมท้นเป็นกำแพงรอบด้าน ครั้งนั้นพวกชฎิลพายเรือมาดู เห็นดังนั้นก็เกิดความเลื่อมใส แล้วขออุปสมบท พุทธกิริยา เช่นนี้เป็นพุทธรูปปางห้ามสมุทร ฯ ในนครกบิลพัสดุ์ เป็นพระนครของเจ้าศากยะพระญาติ ฝ่ายพุทธบิดา กับนครเทวทหะ นครของเจ้าโกลิยะพระญาติฝ่ายพุทธมารดา ทั้งสองนครตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำโรหินี ชาวนาของเมืองทั้งสองอาศัยน้ำในแม่น้ำโรหินีนี้ทำนา สมัยหนึ่งน้ำน้อยไม่พอทำนา จึงมีการแย่งน้ำทำนา ชั้นแรก ก็เป็นการวิวาทเฉพาะบุคคล แต่เมื่อระงับด้วยสันติวิธีไม่ได้ การวิวาทก็ลุกลามมากขึ้น เกิดการด่าว่าถึงชาติโคตร และ ลามปามไปถึงราชวงศ์ในที่สุด อันเป็นเหตุให้กษัตริย์ ทั้งสองพระนครกรีฑาทัพออกมาประชิดกันยังแม่น้ำโรหินี เมื่อพระศาสดาทรงทราบ ก็เสด็จไปห้ามสงครามแย้งน้ำ ระหว่างพระญาติทั้งสอง โดยแสดงให้เห็นโทษความพินาศ ของชีวิตมนุษย์ และเป็นการทำลายเกียรติของกษัตริย์ เพราะเหตุเล็กน้อยคือน้ำ ครั้นพระญาติทั้งสองฝ่ายทำความเข้าใจ คืนดีกันแล้ว ก็เสด็จพระดำเนินกลับ พุทธกิริยาของพุทธรูปปางนี้เรียกว่า ปางห้ามสมุทร บ้าง ปางห้ามญาติ บ้าง ซึ่งทั้งสองปางนี้มีอันที่จริงก็เป็นปางเดียวกัน ฯ
๒๕.ปางชี้อัครสาวก (Le Bouddha nommant ses disciples)
http://public.blu.livefilestore.com/y1posmO4Meivoon7iRGA72GSgSLuoitA3zP9UwFGAdQMFqxDOFtcOVD7NHIR9ON6npdrfNbu1TAmSYhcvqFW3dYeA/24.jpg?psid=1

พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายหงายวางบนพระเพลา พระหัตถ์ขวายกขึ้น ชี้นิ้วพระหัตถ์ขวาตรงออกไปข้างหน้าเป็นกิริยาประกาศอัครสาวกให้ ปรากฎในประชุมสงฆ์ ฯ เมื่อมาณพ 2 คน คือ อุปติสสะ หรือ สารีบุตร กับโกลิตะ หรือ โมคัลลานะ ได้พากันออกจากตระกูลเพื่อแสวงหาโมกขธรรม วันหนึ่งสารีบุตรได้ไปพบพระอัสสชิ และได้ฟังธรรมโดยย่อว่า ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระศาสดาทรงแสดงเหตุแห่งธรรมนั้น และความดับแห่งธรรมนั้น ทำให้สารีบุตรได้ดวงตาเห็นธรรม เมื่อโมคคัลลานะได้ฟังธรรมที่สารีบุตรแสดงให้ฟังก็ได้ดวงตา เห็นธรรมเช่นเดียวกัน ทั้งสองจึงพากันไปเฝ้าพระศาสดา และทูลขออุปสมบท หลังจากบวชได้ 7 วัน พระโมคคัลลานะ ก็บรรลุอรหันต์ ส่วนพระสารีบุตรก็บรรลุอรหันต์ หลังจากนั้น อีก 7 วัน เมื่อท่านทั้งสองได้บรรลุอรหันต์ พระศาสดาก็ยกย่อง ให้พระสารีบุตรเป็นอัครสาวกเบื้องขวา ส่วนพระโมคคัลลานะ เป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย ฯ






๒๖.ปางประทับเรือขนาน (Le Bouddha assis sur une barque)
  ปางประทับเรือขนาน เป็นพระพุทธรูปอยู่ในพระอิริยาบถประทับ (นั่ง) บนพระแท่น พระหัตถ์ทั้งสองข้างวางคว่ำ บนพระชานุ (เข่า) บางแบบพระหัตถ์ซ้ายคว่ำที่พระชานุ พระหัตถ์ขาวจับชายจีวร พระบาททั้งสองวางอยู่บนดอกบั
๒๗. ปางแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ (Le Bouddha accomplissant un miracle)
http://public.blu.livefilestore.com/y1pWZOKgW7n36Ec0YOFAkya1XA_KPwRDKcEeA2UEO1SShfsNP_8eRT2DtN5EAKNk3Au2lfxDIJ3Ci7ft-DkSROnXA/28.jpg?psid=1
  พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถยืน พระหัตถ์ซ้ายยกขึ้นป้องพระอุระ พระหัตถ์ขวาห้อยลงข้างพระกาย พักพระชานุเบื้องขวา ฯ ครั้งที่พระบรมศาสดาได้เสด็จกลับพระนครกบิลพัสดุ์ พระเจ้าสุทโธทนะ พร้อมด้วยพระประยูรญาติจำนวนมาก ก็พากันมาต้อนรับ แต่บรรดาพระประยูรญาติทั้งหลายที่มีอายุมากกว่ามีมานะทิฏฐิ ไม่ถวายบังคมพระศาสดา พระองค์ทรงพระประสงค์จะทำลายทิฏฐิมานะ จึงแสดงปาฏิหาริย์เหาะขึ้นลอยอยู่ในอากาศ ให้ปรากฎประหนึ่งว่า ละอองธุลีพระบาทได้หล่นลงตรงเศียรเกล้าแห่งพระประยูรญาติทั้งหลาย ครานั้นพระเจ้าสุทโธทนะ และพระประยูรญาติทั้งหลายได้เห็นปาฏิหาริย์ จึงพากันประนมหัตถ์ถวายนมัสการ ต่อนั้น พระบรมศาสดาก็เสด็จลงจากอากาศ ประทับนั่งบนพุทธอาสน์ ขณะนั้นฝนโบกขรพรรษ มีสีแดง ก็ตกลงมาท่ามกลางพระประยูรญาติ ผู้ใดปรารถนาให้เปียกก็เปียก ถ้าไม่ปรารถนาก็มิได้เปียก เหมือนหยาดน้ำตกลงบนใบบัว แล้วกลิ้งตกลงไปมิได้ติดอยู่ให้เปียก ฯ
๒๘.ปางอุ้มบาตร (Le Bouddha tenant le bol à aumônes)
http://public.blu.livefilestore.com/y1puCTBq5nhp7Nc2GNudfo_g5d1cXKmWt9d2VDyuBI-_2CL4e-24VHagA2KnYoOP3zSz_HbfPe9wqp10m3Yoa3EJg/29.jpg?psid=1
     พระพุทธรูปปางนี้อยู่ในพระอิริยาบถยืนส้นพระบาททั้งสองชิดกันพระหัตถ์ทั้งสองยกประคองบาตรราวสะเอว ฯ เมื่อได้สดับพระธรรมเทศนาแล้ว พระพุทธบิดาและพระประยูรญาติ ก็ทูลลากลับ มิได้มีพระญาติสักองค์หนึ่งจะกราบทูลถวายพระยาหาร ในยามเช้าพรุ่งนี้ แม้แต่พระเจ้าสุทโธทนะก็มิได้อาราธนาด้วยทรงแน่พระทัยว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระโอรส ก็ต้องเสด็จมาเสวยพระกระยาหารที่พระราชนิเวศน์เป็นแน่แท้ เมื่อไม่มีผู้ใดอาราธนาพระบรมศาสดาไปเสวย ณ ที่ใด ครั้นรุ่งเช้าจึงทรงบาตรพาภิกษุสงฆ์เสด็จไปตามท้องถนนหลวง เพื่อรับอาหารบิณฑบาต ฯ
๒๙.ปางรับผลมะม่วง (Le Bouddha recevant une mangue en aumône)
http://public.blu.livefilestore.com/y1pAn7RDKBs9uMTBkZkKtOq2Od_gNEM3Gol6zo9ZnBVHI-NtbFAgqOSCw-cc9BhuwGUJfg-RxvTyO0TObmhdFSXpQ/31.jpg?psid=1

พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายวางบนพระเพลา พระหัตถ์ขวาทรงถือผลมะม่วง และวางหลังพระหัตถ์ไว้บนพระเพลา หงายพระหัตถ์ให้เห็นผลมะม่วงที่ทรงถืออยู่ ฯ เมื่อพระพุทธเจ้ารับคำว่าจะทำปาฏิหาริย์กับพวกเดียรถีย์ ที่ร่มไม้มะม่วง พวกเดียรถีย์จึงจ้างให้คนทำลายต้นมะม่วงในสาธารณะทั้งในเมืองและนอกเมืองให้หมด เพื่อมิให้โอกาสแก่พระศาสดา ครั้นถึงวันขึ้น 15 ค่ำ กลางเดือน 8 พระองค์พร้อมด้วยพระสาวกก็เสด็จไปเข้าไปในพระนครสาวัตถี เพื่อบิณฑบาต ก็ได้พบกับบุรุษผู้รักษาสวนหลวงชื่อ คัณฑะ ได้น้อมผลมะม่วงถวายพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้นพระองค์ทรงรับแล้วก็ประทับ ณ ที่อันสมควร และทรงหยิบผลมะม่วงส่งให้พระอานนท์ คั้นน้ำมะม่วงถวาย เมื่อทรงเสวยเสร็จก็ส่งเมล็ดมะม่วงให้นายคัณฑะ คุ้ยดินปลูกตรงนั้น แล้วก็ทรงล้างพระหัตถ์บนหลุมที่ปลูกมะม่วง ในทันใดนั้นก็เกิดความอัศจรรย์ เมล็ดมะม่วงก็เกิดงอกออกต้นขึ้นทันที มีกิ่งใหญ่ 5 กิ่ง แต่ละกิ่งยาวถึง 50 ศอก ล้วนตกดอกออกผล มีทั้งผลดิบ และสุก ดกเต็มต้น ล่วงหล่นเกลื่อนพื้นพสุธา ฯ
๓๐.ปางแสดงยมกปาฏิหาริย์ (Le Bouddha accomplissant le Double Miracle)
http://public.blu.livefilestore.com/y1p-4PN7n0pMxL1yiNP9eIdvkX10z-cCkBgqniYAPGdvrBCcyWLGKd-PWWHkHexMBAkeHihNXC1vq1R9P1txBLLaw/32.jpg?psid=1

พระเพลา พระหัตถ์ขวายกขึ้นเสมอพระอุระ จีบนิ้วพระพระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถนั่งบนบัลลังก์ ห้อยพระบาททั้งสองแบบนั่งเก้าอี้ ที่พระบาทมีดอกบัวรองรับ พระหัตถ์ซ้ายวางบน หัตถ์ เป็นกิริยาแสดงธรรม ฯ พระพุทธเจ้าทรงอาศัยต้นมะม่วงคัณฑาพฤกษ์แสดงปาฏิหาริย์มีประการต่าง ๆ (รายละเอียดต้องหาอ่านได้จากหนังสือ ปฐมสมโพธิ) ฯ
๓๑ ปางเสด็จลงจากดาวดึงส์ (Le Bouddha descendant du ciel suprême)
http://public.blu.livefilestore.com/y1pDbNvkiPiOVgVeri-zBakmp61x2WSfdq26v7Hn98BdswhnrEA24XDWEJozswcHO4YQBorXV92AyXqxC_DxopX1w/36.jpg?psid=1

พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถยืน ยกพระหัตถ์ทั้งสองข้างขึ้นเสมอพระอุระ แบบพระพุทธรูปปางห้ามสมุทร ต่างกันแต่จีบนิ้วพระหัตถ์ทั้งสองเป็นกิริยาแสดงธรรม ฯ เมื่อพระบรมศาสดาเสด็จมาถึงมนุษยโลก ด้วยทรงมีพระกรุณาต่อมหาชนที่คอยรับเสด็จและกำลังโสมนัสที่ได้เห็นระกายอันงดงามของ พระองค์ที่ทรงประทับอยู่ท่ามกลางหมู่เทพทั้งหลาย จึงทรงแสดงธรรมโปรดแก่เหล่าพุทธบริษัทให้ได้หยั่งรู้ธรรม ตามสมควรแก่อุปนิสัยที่ได้สั่งสมมา ฯ

๓๒ ปางเปิดโลก (Le Bouddha ouvrant les portes du Monde)
http://public.blu.livefilestore.com/y1pTGwi0tBP7LzOOSuSMP-SdQ6wQbmDNhBHPU2AgeVVXM4Nz_wk1GojfsmKRipvbNVTa_2WifA8TRaDAvzjbePq3g/34.jpg?psid=1
     พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถยืน ห้อยพระหัตถ์ขวา-ซ้ายปกติ เหมือนปางประทับยืน แต่แบฝ่าพระหัตถ์ทั้งสองหันออกไปข้างหน้าเป็นกิริยาเปิด ฯ เมื่อพระบรมศาสดาจำพรรษาบนดาวดึงส์ครบไตรมาสแล้ว ก็ได้แจ้งให้ท้าวสักกะได้ทราบว่าจะเสด็จไปสู่มนุษยโลก ท้าวสักกะจึงนิรมิตบันไดทิพย์ 3 บันได คือ บันไดแก้วอยู่กลางสำหรับพระพุทธเจ้า บันไดทองอยู่ข้างขวาสำหรับเทวดาทั้งหลาย บันไดเงินสำหรับพรหมทั้งหลาย เมื่อได้เวลาเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงเสด็จมาประทับยืนที่บันไดแก้ว ในท่ามกลางเทพและพรหมที่ตามส่งเสด็จ จึงได้ทรงทำ "โลกวิวรณปาฏิหาริย์" เปิดโลก ทุกทิศทุกทางที่พระองค์ทอดพระเนตรไปก็จะแลโล่งถึงกันหมด ไม่มีอันใดกีดกัน ไม่ว่าเทวดา มนุษย์ และสัตว์นรกต่างก็มองเห็นกัน พระองค์ทรงทำปาฏิหาริย์เปิดโลก พร้อมกับเปล่งฉัพพัณรังษี เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง ฯ
๓๓ ปางห้ามแก่นจันทน์ (Le Bouddha empêchant la statue de bois de santal de se lever )
http://public.blu.livefilestore.com/y1prGRYGb4CvgRkxl3oe50Du7m4O3DBFF5KkiiPk-CDDWS2grRvu0ZziTiXu5ienyRGfaRzbyQ31wsjGC5hIqochQ/37.jpg?psid=1

พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถยืน ห้อยพระหัตถ์ขวา ตั้งฝ่าพระหัตถ์ซ้ายออกไปข้างหน้า เสมอพระอุระ เป็นกิริยาห้าม ฯ เมื่อพระบรมศาสดาเสด็จไปจำพรรษายังดาวดึงส์เป็นเวลา 3 เดือน ทำให้พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงรำลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์จึงให้ช่างแกะรูปพระพุทธเจ้าปางประทับนั่ง เท่าองค์จริงด้วยไม้แก่นจันทน์ แล้วอัญเชิญประดิษฐานยังพระราชมณเฑียร ที่พระพุทธเจ้าเคยประทับมาก่อน ภายหลังเมื่อพระบรมโลกเชฏฐ์เสด็จกลับจากสรวงสวรรค์แล้ว พระเจ้าปเสนทิโกศล ก็ทูลอาราธนาให้พระองค์เสด็จไปทอดพระเนตรพระไม้แก่นจันทน์ ครั้นพระศาสดาเสด็จไปถึง พระไม้แก่นจันทน์ทำเสมือนหนึ่งว่า มีจิตรู้จักปฏิสันถารที่ควรจะลุกขึ้นถวายความเคารพพระศาสดา ได้ขยับเลื่อนพระองค์ลงมาจากพระแท่นที่ ครั้งนั้นพระชินสีห์ จึงได้ยกพระหัตถ์ซ้ายขึ้นห้าม พระเจ้าปเสนทิโกศลเห็นดังนั้น ก็ยิ่งเกิดความเลื่อมใสอัศจรรย์ใจในพระบารมี ฯ
๓๔ ปางประทับยืน (Le Bouddha debout)
http://public.blu.livefilestore.com/y1pnLFb7iNMdhGk0ZpGb0DZ-NXR4VCSxs_kiRGLW-jXpliHsrmsc6Ms0xuwuRrGtgkiccoyodu2EmV5eD6WiyaIzw/39.jpg?psid=1
    พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถยืนตามปกติ ห้อยพระหัตถ์ทั้งสองลงชิดพระกายอย่างสบาย ๆ แสดงว่า ยังไม่มีเหตุการณ์อะไรอันจะทำให้ไหวพระกายคือประทับยืนเฉย ๆ น่าจะเรียกตามเหตุว่า ปางเมตตาการุญ ฯ เมื่อพระบรมศาสดาจะเสด็จไป ณ ที่ใดพร้อมด้วยหมู่พระสงฆ์ พระองค์ ก็จะเสด็จออกจากพระคัณฑกุฎีแล้วมาประทับยืนในท่านี้ ณ หน้าพระคัณฑกุฎีเป็นปกติ เพื่อทอดพระเนตรความพร้อมเพรียงของพระสงฆ์สาวก เมื่อพร้อมเพรียงกันดีแล้วก็เสด็จเป็นประธานนำพระสงฆ์ไป นี่เป็นพุทธจริยาวัตรที่ทรงแสดงซึ่งน้ำพระทัยให้ปรากฎว่าทรงมากด้วยพระเมตตา และกรุณาในพระสงฆ์สาวก ทั้ง เป็นเนติอย่างดีสำหรับพระสงฆ์ผู้เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะจะพึงปฏิบัติตาม อันจะเป็นความงามในพระธรรมวินัยนี้ ฯ

๓๕ ปางลีลา (Le Bouddha marchant)
http://public.blu.livefilestore.com/y1pDbNvkiPiOViQTK-VoQYl5Ha7oR391JZ9SMRzSO_1FaeOBqr557STxUPfZ1enDehtyifpeNZOOlTPrL-9V2wTWg/35.jpg?psid=1
    พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถยืนยกส้นพระบาทขวาสูงขึ้นจากพื้น ปลายพระบาทยังจดอยู่กับพื้น อยู่ในท่าจะก้าวเพื่อทรงพระดำเนิน พระหัตถ์ขวาห้อยอยู่ในท่าไกว พระหัตถ์ซ้ายยกเสมอพระอุระ ตั้งฝ่าพระหัตถ์ป้องไปเบื้องหน้าเป็นกิริยาเดิน ฯ ในคราที่พระบรมศาสดาพระพุทธดำเนินลงจากดาวดึงส์เทวโลกในท่ามกลางเทวดาและพรหมห้อมล้อม ครั้งนั้นพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรก็กล่าวชื่นชมในพระอิริยาบถย่างก้าวของพระพุทธเจ้าว่า ช่างงดงาม ทำให้ผู้ได้พบเห็นเกิดความเลื่อมใส ฯ
๓๖ ปางสมาธิเพ็ชร (Le Bouddha en  position du lotus)
http://public.blu.livefilestore.com/y1prGRYGb4CvgRp4n5NP3uagFz_vjeZXLSosynoSB8UmRu5SrO-wtAPz4AfhmDDRktmcxXvkafSW6ZFL8x_YEbCyQ/38.jpg?psid=1

พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิไขว้พระชงฆ์ ยกฝ่าพระบาททั้งสองหงายขึ้นมาวางบนพระเพลา พระหัตถ์ทั้งสองก็ยกขึ้นมาวางซ้อนกัน ทับฝ่าพระบาทอีกทีหนึ่ง นิยมเรียกว่า พระขัดสมาธิเพ็ชร ฯ ตำนานปางนี้ไม่ปรากฎชัด ทราบแต่เพียงว่าเป็นปางประทับพักในเวลากลางวัน ความจริงการนั่งท่านี้ไม่ใช่นั่งสบาย แต่น่าจะมีอะไรสักอย่างที่ทรงตั้งพระทัยทำการนั่งขัดสมาธิเพ็ชร จึงขอฝากผู้สนใจในพระปางนี้ไว้พึงค้นคว้าสืบไปฯ

๓๗  ปางสรงน้ำฝน (Le Bouddha se baignant sous la pluie)
http://public.blu.livefilestore.com/y1pPd84R54Uv-Xr3rXTYl0dgEakGX1h2cpGxcAneuzfkHZUnbSDG1OcjC5ZsSVUoMbWFrlNe3mh_5w07OfcLIsH7g/42.jpg?psid=1
พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถยืน ทรงห่มผ้าวัสสิกสาฎกเฉวียงพระอังสา พระหัตถ์ซ้ายห้อยลงข้างพระกาย ยกพระหัตถ์ขวาขึ้นลูบพระอุระ เป็นกิริยาสรงน้ำ ฯ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าพระประทับ ณ พระเชตวันวิหาร ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้น เมืองสาวัตถีเกิดฝนแล้ง ชาวบ้านต่างก็ ลำบากด้วยน้ำเป็นอันมาก ชาวเมืองจึงคิดว่า พระพุทธเจ้าผู้มากด้วยพระมหากรุณา จะทรงโปรดให้เราพ้นจากความเดือดร้อนนี้เป็นแน่ จึงพากันไปเฝ้าและกราบทูลให้เสด็จออกไปสรงน้ำฝนในที่แจ้ง ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับคำอาราธนาแล้ว ทรงผลัดผ้าวัสสิกสาฎก เสด็จออกไปประทับในที่แจ้ง เพื่อทรงน้ำฝนตามคำอาราธนา ทรงทอดพระเนตรแลดูในทิศทั้งหลาย ด้วยพุทธานุภาพในทันใดนั้น มหาเมฆก็ตั้งขึ้น ให้ฝนตกลงมาเป็นอันมาก ฯ
๓๙ ปางประทานอภัย (Le Bouddha pardoonnant)
http://public.blu.livefilestore.com/y1pSkgmuXGlL_PNDe5fTmYdhyN0Zd2e0glNc9xb_C2Mx_B1FebqEB_NSIt0iGiEEWAIzBIDp_hpRjJGFL_uR8RNgA/55.jpg?psid=1

พระพุทธรูปปางนี้ มี 2 แบบ คือแบบหนึ่งอยู่ในพระอิริยาบถยืนยกพระหัตถ์ทั้งสองเสมอพระอุระ ตั้งฝ่าพระหัตถ์ออกไปข้างหน้า (แบบห้ามญาติ) ฯ อีกแบบหนึ่งอยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ ยกพระหัตถ์ทั้งสอง ป้องเสมอพระอุระ ตั้งฝ่าพระหัตถ์เข้าหากัน เบนออกไปข้างหน้าเล็กน้อย แต่แบบจะนิยมสร้าง ฯ พระเจ้าอชาติศัตรู พระโอรสพระเจ้าพิมพิสาร ชอบทำอะไรตามพระทัย จนเคยชิน ต่อมาได้รู้จักพระเทวทัตผู้มีใจลามก และได้ปลงพระชนม์พระบิดาเพื่อจะได้เป็นพระราชาปกครองราชอาณาจักร ตามคำแนะนำ ของพระเทวัต ส่วนพระเทวทัตก็พยายามปลงพระชนม์พระพุทธเจ้าด้วยวิธีการต่าง ๆ แต่ไม่สำเร็จ เป็นต้นว่ากลิ้งก้อนหินใหญ่ลงมาหมายให้ทับพระองค์ แต่พลาด เพียงแต่สะกิดหินแตกกระเด็นไปต้องพระบาททำให้พระโลหิตห้อ แม้แค่นั้นก็จัดเป็นอนันตริยกรรม ถึงกระนั้นพระเทวทัตก็ยังไม่สำนึกผิด ฝ่ายพระเจ้าอชาติศัตรูต่อมา สำนึกผิด จึงเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ได้ฟังพระธรรมเทศนาและได้เข้าถึงพระรัตนตรัย ภายหลังก็ทูลขอประทานอภัยโทษต่อบาปที่ทรงทำ พระศาสดาจงทรงประทานอภัยโทษว่า การที่บุคคลเห็นความผิดโดยความผิดจริง แล้วสารภาพตามความเป็นจริง นั้น เป็นความชอบในธรรมวินัยของพระอริยะ ฯ
๔๐.ปางประทานพร (Le Bouddha bénissant)
http://public.blu.livefilestore.com/y1pYph33zjKha84fwTTEc8StfUTaV0Fi9mNeIRssRu-Q36PTKfxdhUA5sysOqv01UbuKQfJKhkW1C0iumfO66JWqw/48.jpg?psid=1
พระพุทธรูปปางนี้มี 2 แบบ คือ แบบหนึ่งอยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิและพระหัตถ์ซ้ายวางบนพระเพลา พระหัตถ์ขวาแบฝ่าพระหัตถ์ ยื่นออกไปวางที่พระชานุ ฯ อีกแบบหนึ่งอยู่ในพระอิริยาบถยืน ยกพระหัตถ์ซ้ายขึ้นเสมอพระอุระ หงายฝ่าพระหัตถ์ออกไปข้างนอกบ้าง ยกขึ้นเสมอพระอังสะถือชายจีวรบ้าง พระหัตถ์ขวาห้อย หันฝ่าพระหัตถ์ออกไปข้างหน้า เป็นกิริยาประทาน แต่แบบนั่งจะนิยมสร้าง ฯ เรื่องพระพุทธเจ้าทรงประทานพร อันควรยกมากล่าวก็มีด้วยกัน 3 เรื่อง คือ
1. ประทานพรแก่หมอชีวกโกมารภัจจ์
2. ประทานพรแก่นางวิสาขามหาอุบาสิกา
3. ประทานพรแก่พระอานนท์พุทธอุปัฏฐาก
ในที่นี้จะขอนำพร 8 ประการ ที่นางวิสาขามหาอุบาสิกา ทูลขอกับพระพุทธเจ้า ได้แก่
1. ขอถวายผ้าอาบน้ำฝน
2. ขอถวายอาหารแด่ภิกษุที่จรมาจากทิศทั้งสี่
3. ขอถวายอาหารแด่ภิกษุที่เตรียมจะเดินทาง
4. ขอถวายอาหารแด่ภิกษุอาพาธ
5. ขอถวายอาหารแด่ภิกษุที่พยาบาลภิกษุอาพาธ
6. ขอถวายยาแด่ภิกษุอาพาธ
7. ขอถวายข้าวยาคูประจำ
8. ขอถวายผ้าอาบน้ำฝนตลอดชีวิต ฯ
๔๑ ปางโปรดสัตว์ (Le Bouddha accordant sa miséricorde envers les êtres)
http://public.blu.livefilestore.com/y1p47lOm_7KMyh9Sh7TDemS9APIRWgcOnhDrLBSkJc4nTFVom_LV9DJNAGUdVB-dwRQddj_XwgO1-0Y4GQ1ceuF-A/53.jpg?psid=1
  พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายหงายวางที่พระชานุ พระหัตถ์ขวายกขึ้นเสมอพระอุระ จีบนิ้วพระหัตถ์เป็นอาการแสดงธรรม ฯ พระเจ้าอาฬวี กษัตริย์แห่งอาฬวีนครทรงนิยมไพรถือการล่าสัตว์ป่าเป็นกิจวัตร วันหนึ่งกำลังไล่กวาง เกิดโชคร้ายพลัดหลงกับกองทหารเข้าไปในเขตหวงห้ามของอาฬวกยักษ์ ซึ่งได้รับประทานพรจากพระอิศวรให้จับคนและสัตว์ที่พลัดหลงเข้ามาในแดนของตนกินได้ พระเจ้าอาฬวีจึงขอผ่อนว่า ถ้าปล่อยให้พระองค์กลับพระนคร ก็จะส่งคนมาให้เป็นอาหารวันละ 1 คน เมื่อกลับถึงพระนครพระองค์ก็ทำตามสัญญา ทีแรกก็ส่งนักโทษไป ต่อมาก็เด็ก จนชาวเมืองพากันหนีไปอยู่เมืองอื่น ในที่สุดก็ต้องจับ พระโอรสของพระเจ้าอาฬวีส่งไป พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบด้วยพระญาณ จึงเสด็จไปทรมารยักษ์ให้สิ้นความดุร้าย ฯ
๔๒. ปางขอฝน (Le Bouddha damandant la pluie)
http://www.photikhun.org/images/column_1280152839/42.gif
พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถนั่ง ทรงผ้าอุทกสาฎกพระหัตถ์ขวายกขึ้นเป็นกิริยากวัก แสดงอาการขอฝน พระหัตถ์ซ้ายหงายบนพระเพลา เป็นอาการรองรับน้ำฝน ฯ ครั้งหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ที่พระเชตวันวิหารในเมืองสาวัตถี ในปีนั้นฝนแล้งมาก หาน้ำใช้ยาก วันหนึ่งพระศาสดาเสด็จกลับ จากโปรดสัตว์ในเวลาเช้า หลังจากทรงทำภัตตกิจแล้ง ได้ทรงเห็นความลำบากของมหาชน จึงรับสั่งขอผ้าชุบสรงจากพระอานนท์เถระ พระอานนท์ทูลว่า น้ำในสระหน้าวัดแห้งหมดพระเจ้าขา จึงตรัส ตอบว่า เราจะสรงน้ำฝน พระองค์ทรงผ้าชุบสรง ชายข้างหนึ่งทรงปิดพระกาย ชายอีกข้างหนึ่งตวัดขึ้นพาดพระอังสะลงมา แล้วเสด็จไปประทับยืนที่ของสระ ยกพระหัตถ์ขวาเรียกฝน ยกพระหัตถ์ซ้ายขึ้นรองน้ำ ในทันใดนั้น ด้วยพุทธานุภาพ ฝนก็ตกลงมาดั่งพระวาจาที่รับสั่ง ทำให้ปวงประชาและหมู่สัตว์ได้รับความสุขจากน้ำฝนกันทั่วหน้า ฯ
๔๓ ปางปลงกรรมฐาน (Le Bouddha méditant sur la mort devant un cadavre)
http://public.bay.livefilestore.com/y1pqdUeUJkXG8epxVufU46wMCn6wlveyQ4KKipXT3GOvn_p5h2w0BoF2RKnQfg0xZFd5yRBNeL4nf4wQIlTFZYgqQ/100704_DSC_2312.JPG?psid=1
พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในอิริยาบถยืน มี 2 แบบ คือ แบบหนึ่งห้อยพระหัตถ์ซ้ายลงทาบที่พระเพลา ยื่นพระหัตถ์ขวาออกไป ข้างหน้าเป็นกิริยาซักผ้า ฯ อีกแบบหนึ่ง พระหัตถ์ซ้ายทรงธารพระกร ส่วนพระหัตถ์ขวา อยู่ในอาการเช่นเดียวกัน นิยมเรียกว่า ปางชักผ้ามหาบังสุกุล ฯ ในครั้งพุทธกาล ภิกษุจะแสวงหาผ้าขาวพันศพที่ถูกนำไปทิ้งในป่าช้าเพื่อเอามาทำจีวร สบง หรือสังฆาฏิ แม้แต่พระพุทธเจ้า พระองค์ก็ทรงปฏิบัติเช่นเดียวกัน กิริยาที่ทำอย่างนั้น เรียกว่า การชักผ้าบังสุกุล เมื่อเวลาไปชักผ้าออกจากศพก็ต้องมีไม้เท้า ที่เรียกว่า ธารพระกร ใช้ยันศพให้กลิ้งออกไปจากผ้าขาว แล้ว จึงนำผ้านั้นมาซัก ตัดเย็บต่อไป ฯ
๔๔  ปางสนเข็ม (Le Bouddha enfilant une aiguille)
http://public.blu.livefilestore.com/y1pq0lvM_QLXvYDB6Qwl7T-vbFDGKapM_ZKJu5nadF8uilE4HFIOh4BDNcPsNhBXPyGyPmbD8EORyymOobXk7tCPg/47.jpg?psid=1

พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ทั้งสอยกขึ้นเสมอพระอุระ พระหัตถ์ซ้ายทำกิริยาจับเข็มพระหัตถ์ซ้ายทำกิริยาจับเส้นด้าย อยู่ในพระอาการสนเข็ม ฯ ในครั้งพุทธกาล เมื่อถึงคราวทำผ้ากฐินภิกษุจะต้องช่วยกันเย็บจีวรเองและต้องให้เสร็จทันเวลา แม้พระบรมศาสดาก็มิได้ทรงดูดาย จะเสด็จไปเป็นประธานในงาน ทรงรับภาระช่วยสนเข็มในขณะพระเย็บผ้าจีวรอยู่ รูปใดด้ายหมดก็ส่งเข็มถวาย พระองค์ก็ทรงสนเข็มประทาน ฯ
๔๕  ปางประดิษฐานรอยพระบาท (Le Bouddha posant ses ampreintes )
http://public.blu.livefilestore.com/y1pheoMx0z85I28FZP0m7p-x_pf9k41Ifjo22RBD9WB2YV5I7qLeHrMMekAeWONYgAZ4UAO1YQSHCfYEYYHt06E3A/40.jpg?psid=1
        พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถยืน พระบาทซ้ายเหยียบหลังพระบาทขวา เป็นกิริยากดพระบาท พระหัตถ์ทั้งสองประสานที่พระเพลา เป็นอาการสังวร ตั้งพระทัยประดิษฐานให้รอยพระบาทปรากฎชัดมีลายลักษณ์พระบาทครบบริบูรณ์ ฯ ที่แคว้นกุรุ มีพราหมณ์ชื่อมาคันทยะ เป็นผู้มั่งคั่งด้วยสมบัติ มีภรรยาผู้มีความรู้ในเรื่องทำนายทายลักษณะ และมีธิดาสาวสวย จึงทำให้เป็นที่หมายปองของชายหนุ่มทั้งหลาย แต่คันทิยะพราหมณ์ก็ไม่ยอมยกธิดาให้ใคร เพราะนางเป็นคนสวยมาก อีกทั้งตนเองก็มีสมบัติมากวันหนึ่งพระบรมศาสดาทรงตรวจดูอุปนิสัยของผู้ที่สมควรจะเสด็จไปโปรด ก็เห็นมาคันทิยะพราหมณ์และภริยาอยู่ในข่ายแห่งพระญาณ จึงเสด็จไปประทับยืนที่หน้าบ้านของพรามณ์ เมื่อออกมาเห็นพระองค์ ก็คิดว่า "ผู้นี้แหละเหมาะกับลูกสาวของเรา จึงบอกว่า ท่านเหมาะสมกับธิดาของเรา ท่านจงคอยก่อน เราจะนำธิดาของเรามาให้ท่านดู" พราหมณ์จึงรีบไปบอกภริยาให้พาธิดาออกไปพบพระองค์ เมื่อทั้ง 3 ออกมาก็ไม่พบพระพุทธเจ้า พบแต่รอยพระบาท ฝ่ายภริยาเมื่อได้เห็นรอยพระบาทจึงกล่าวว่า "รอยเท้าของชายผู้นี้มีคุณสมบัติเลิศในโลก เป็นที่บูชาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย คนที่มากด้วยราคะพื้นเท้าจะเว้าลึกเข้าไป คนมากด้วยโทสะจะหนักส้นเท้า คนมากด้วยโมหะจะหนักปลายเท้า ส่วนรอยเท้าของท่านผู้นี้มีพื้นเสมอ ไม่ราคะ โทสะ และโมหะ ดังนั้นชายผู้นี้ดีเกินว่าจะมาเป็นสามีธิดาของเรา" ภายหลังเมื่อทั้ง 3 ได้พบกับพระบรมศาสดาและได้ฟังธรรมก็ได้ ดวงตาเห็นธรรม ฝ่ายคันทิยะพราหมณ์ได้มอบธิดาให้น้องชายดูแลพร้อมทั้งทรัพย์สมบัติ แล้วชวนภริยาออกบวช
๔๖ ปางป่าเลไลยก์ (Le Bouddha en pèlerinage dans la forêt )
http://public.blu.livefilestore.com/y1pPBKfXw0ef2UROXdv_pmndenLwzS90aerS_zdYF1uN1X4CvADDotAWz1UajIJezCK3IhbB9XQWPj0UHHROcjmnQ/51.jpg?psid=1
พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถนั่งบนก้อนศิลาห้อยพระบาททั้งสอง ทอดพระบาทน้อย ๆ พระหัตถ์ซ้ายคว่ำวางบนพระชานุ พระหัตถ์ขวาหงายวางบนพระชานุ เป็นกิริยาทรงรับ ที่นิยมเรียกว่า พระปางป่าเลไลยก์ เพราะว่ามีช้างป่าเลไลยก์และลิงร่วมอยู่ด้วย ฯ
ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่โฆสิตาราม ในเมืองโกสัมพี ทรงปรารภภิกษุมากรูปด้วยกัน เป็นผู้ว่ายาก วิวาทกันไม่อยู่ในพระโอวาท และทรงแสดงผลดีของการเคารพเชื่อฟังใน พระโอวาท ทรงประทานโสภณธรรม คือธรรมที่ทำให้งาม 2 อย่าง คือ ขันติ ความอดกลั้น และ โสรัจจะ ความเสงี่ยมเจียมตัว การอยู่ด้วยกัน ควรจะได้เพื่อนที่มีความรู้ รักษาตัวได้ มีปัญญารักจะอยู่ร่วมกับคนดี เป็นเพื่อนร่วมทางเขาก็ควรยินดี ถ้าหากไม่ได้เพื่อนเช่นนั้น การอยู่และเที่ยวไปคนเดียวประเสริฐกว่า แม้จะทรงกรุณาตักเตือนสั่งสอนถึงขนาดนี้ แต่ว่าสงฆ์ทั้งสองฝ่ายก็ยังไมสามัคคีกัน พระองค์จึงหลีกไปประทับอยู่ในป่าตามลำพัง โดยมีช้างชื่อเลไลยก์ และพญาลิงคอยอุปัฏฐาก ฯ

๔๗  ปางห้ามญาติ (Le Bouddha réconcillant sa fmille)

ปางห้ามญาติ บางตำราเรียกปางห้ามสมุทร เป็นพระพุทธรูปอยู่ในอริยาบถยืน ยกพระหัตถ์ทั้งสองยกขึ้นเสมอพระอุระ (อก) ตั้งฝ่าพระหัตถ์ยื่นออกไปข้างหน้าเป็นกิริยาห้าม มีลักษณะคล้ายกันกับปางห้ามพยาธิ
๔๘ ปางพระทรงเครื่อง (Le Bouddha- revêtu dhabits royaux )
http://public.blu.livefilestore.com/y1pB416ODT3wthnmS9kPEtaD513nY0pyy_nNOYBMikplO9XVjHMEhPsjNQuWeavPVy75N5T6HaBw1hJv-CL_0KTJQ/50.jpg?psid=1
    พระพุทธรูปปางนี้ ของเดิมอยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิตามปกติพระหัตถ์ซ้ายหงายวางบนพระเพลา พระหัตถ์ขวาคว่ำวางบนพระชานุ แบบปางมารวิชัย ต่างแต่ทรงเครื่องต้นอย่างพระมหากษัตริย์ไทย ฯ ในปฐมโพธิกาล พระเจ้าชมพูบดี ครองนครปัญจาละ เป็นผู้มีบุญญาธิการมาก มีอำนาจวิเศษเหนือกษัตริย์น้อยใหญ่ 3 อย่าง คือ ศรวิเศษ ฉลองพระบาทแก้ววิเศษและจักรแก้ววิเศษ จึงออกล่าเมืองต่าง ๆ มาเป็นเมืองขึ้น เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเห็นอุปนิสัยของพระเจ้าชมพูบดีว่าควรจะบรรลุพระอริยผล พระองค์จึงทรงนิรมิตรูปพระโฉมงามดุจท้าวมหาพรหม ประกอบด้วยพระรัศมีหกประการ ประทับนั่งบนรัตนบัลลังก์ ท่ามกลางมุขอำมาตย์เสนาบดี พร้อมด้วยพหลโยธีเฝ้าอยู่ในหน้าที่ มือถือศัตราวุธอยู่พร้อมสรรพ และได้ทรมานพระเจ้าชมพูบดีให้ยอมแพ้ ในที่สุดก็คลายทิฏฐิมานะเกิดความเลื่อมใส อุปสมบทในพระศาสนา ฯ
๔๙ ปางทรงพิจารณาชราธรรม (Le Bouddha méditant sur la vieillesse)
http://public.blu.livefilestore.com/y1pKq2VBgJIVngRx77Oyb4fCOYR80es8DMCM2EhwznPbgm2eDS5CTdB_1dehGWZo7Lx3m6P-EAj5pcXHrGqUvtBeA/58.jpg?psid=1
พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ทั้งสองวางอยู่ที่พระชานุทั้งสองจำเดิมแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ประกาศพระศาสนาให้แพร่หลายทำให้เกิดประโยชน์สุขแก่มหาชนเป็นอันมาก ในพรรษาที่ 45 อันเป็นพรรษาสุดท้ายแห่งพระชนมายุ ได้เสด็จไปจำพรรษา ณ บ้านเวฬุวคาม ในเขตเมืองไพศาลี ครั้นภายในพรรษา พระองค์ทรงประชวรหนัก แต่ ก็ทรงอดกลั้นทุกขเวทนาเสียได้ด้วยอธิวาสนะขันติคุณ วันหนึ่งได้ทรงปรารภกับพระอานนท์ว่า บัดนี้เราแก่เฒ่าล่วงวัยได้ 80 ปี กายของตถาคตย่อมทรุดโทรมเป็นธรรมดา แต่เมื่อใดตถาคตเข้าอนิมิตตเจโต สมาธิ เวทนาบางเหล่าย่อมดับไป เมื่อนั้นกายของตถาคตย่อมผ่องใส มีความผาสุกสบาย เพราะฉะนั้น ท่านจงมีตนเป็นเกาะเป็นที่พึ่ง มิใช่ มีบุคคลมีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือจงมีธรรมเป็นเกาะเป็นที่พึ่งทุกอิริยาบถเถิด ครั้นแล้วจึงได้ตรัสเทศนาในข้อว่ามีตนเป็นที่พึ่ง ด้วยสามารถประกอบ ตนไว้ในสติปัฏฐาน 4







๕๐.ปางนาคาวโลก (Le Bouddha faisant ses adieux à la ville)
ปางนาคาวโลก เป็นพระพุทธรูปอยู่ในอิริยาบถยืน พระหัตถ์ขวาห้อยเยื้องมาข้างหน้าวางไว้ที่พระเพลา (ตัก) ด้านซ้าย พระหัตถ์ซ้ายห้อยลงข้างพระองค์ตามปกติ บางแบบพระหัตถ์ซ้ายห้อยมาข้างหน้า พระหัตถ์ขวาห้อยลงตามปกติ เอี้ยวพระวรกายผินพระพักตร์เหลียวไปข้างหลัง บางแบบพระหัตถ์ขวายกขึ้นเสมอพระอุระ (อก)
๕๑ ปางแสดงโอฬาริกนิมิต (Le Bouddha révélant une vision sublime)
http://public.blu.livefilestore.com/y1pYOBesd4SSgKG3Wt4P1O_fF6tbt9YKQsDFo2VawrmlmfAv9w-1YXKY0gbH40PY-9HGnPAHo55WRzfNJvLnNSsGw/59.jpg?psid=1

พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายยกขึ้นป้องเสมอพระอุระ พระหัตถ์ขวาวางบนพระชานุ ฯ ในเวลาเช้าแห่งวันปุณณรสี เพ็ญเดือน 3 มาฆมาส เมื่อพระบรมศาสดาทรงเสร็จภัตตกิจแล้ว ทรงรับสั่งพระอานนท์ให้เข้าเฝ้า จุดประสงค์เพื่อให้พระอานนท์กราบทูลอาราธนาพระองค์ให้ทรงดำรงพระชนม์ อยู่ชั่วอายุกัปป์หนึ่ง (อายุกัปป์ หมายถึง 100 ปี) หรือมากกว่ากัปป์ จึงทรงแสดงโอฬาริกนิมิตร ให้แจ้งชัดโดยแสดงอานุภาพอิทธิบาท ภาวนาว่า ผู้ใดได้เจริญอิทธิบาทภาวนาดีแล้วสามารถจะดำรงชีวิตอยู่ ได้ถึงกัปป์หนึ่งหรือเกินกว่า ตรัสปริยายนิมิตรให้ชัดถึง 3 หน แต่ว่า มารดลใจพระอานนท์เสีย จึงไม่สามารรู้ทันพระประสงค์ได้ พระอานนท์จึงไม่ได้กราบอาราธนา ฯ

๕๒ ปางปลงอายุสังขาร (Le Bouddha renonçant à la vie)
http://public.blu.livefilestore.com/y1pnjfTAu2nmXPgE0r0agvRlJC8vRUifSRU6YiY6tHLoDCUC5WFOpNPi521sxdgHlj9RhKK4Dx3RIfRdNY3SbGEtQ/61.jpg?psid=1

พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้าย วางบนพระเพลา แบฝ่าพระหัตถ์ขวายกขึ้นประทับที่พระอุระ อย่างกิริยาลูบพระกาย ฯ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีสติสัมปชัญญะปลงอายุสังขาร ณ ปาวาลเจดีย์ ก็เกิดอัศจรรย์แผ่นดิน ทั้งกลองทิพย์ก็บันลือลั่นในอากาศ
ครั้งนั้นพระอานนท์เกิดพิศวงจึงเข้าไปเฝ้าพระผู้พระภาคเจ้าแล้วทูล ถามเหตุดังกล่าว พระองค์จึงตรัสเหตุที่ทำให้แผ่นดินไหว 8 ประการ คือ ลมกำเริบ, ท่านผู้มีฤทธิ์บันดาล, พระโพธิสัตว์จุติลงสู่พระครรภ์, พระโพธิสัตว์ประสูติ, พระตถาคตตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ, พระตถาคตเจ้าปลงอายุสังขาร และพระตถาคตเจ้าปรินิพพานด้วย อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ แล้วรับสั่งว่า บัดนี้พระองค์ได้ทรงปลงอายุ สังขารแล้ว แผ่นดินจึงไหวเพราะเหตุนี้ พระอานนท์จึงกราบทูล ให้พระองค์จงอยู่กัปป์หนึ่ง เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก แต่พระองค์ ตรัสห้ามว่า อานนท์อย่าเลย บัดนี้มิใช่เวลาที่เธอจะมาวิงวอนตถาคต ฯ
๕๓ ปางทรงรับอุทกัง (Le Bouddha recevant un bol deau miraculeuse)
http://public.blu.livefilestore.com/y1pAQLPTopHLMkPWWRyH-pH8Pzm9FAc2-ciyu4HREbouTJVXQ9Stl242C5CHsd6wRqCdbhp3qZ1O942iSRvSd_8NQ/63.jpg?psid=1

พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายวางบนพระเพลา พระหัตถ์ขวาทรงบาตรวางบนพระชานุเป็นกิริยารับน้ำ ฯ
ครั้งหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเสด็จไปยังเมืองปาวานคร แล้วเสด็จเข้าไปประทับอาศัยอยู่ในอัมพวันสวนมะม่วงของนายจุนทะกัมมารบุตร ครั้นนายจุนทะได้ทราบข่าวจึงเข้าไปเฝ้าและฟังพระธรรมเทศนาจนได้ บรรลุโสดาปัตติผล นายจุนทะได้กราบอาราธนาทูลนิมนต์พระองค์กับหมู่ภิกษุให้เข้าไปรับอาหารบิณฑบาตยังบ้าน นายจุนทะได้ตกแต่งอาหารคาวหวานกับทั้งสุกรมัททวะ (เนื้อสุกรอ่อน) เมื่อพระองค์ไปถึงก็รับสั่งให้ถวายสุกรมัททวะเฉพาะต่อตถาคต ที่เหลือให้ฝังเสีย นายจุนทะก็ทำ ตาม ครั้นเสร็จภัตตกิจแล้วตรัสอนุโมทนาให้นายจุนทะ ก็เสด็จกลับไปสู่อัมพวัน เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยภัตตาหารแล้ว ก็ทรงประชวรพระโรค โลหิตปักขัณฑิกาพาธ คือโรคลงพระโลหิต ตรัสสั่งกับพระอานนท์ให้พาเสด็จไปยังเมืองกุสินารา ระหว่างทางทรงกระหายน้ำ อันเนื่องมาจากอาการพระประชวร จึงขอเสวยน้ำ แต่พระอานนท์ได้ทูลทัดทานถึง 2 ครั้ง เพราะแม่น้ำเล็ก น้ำในแม่ก็น้อย เกวียนจำนวน 500 เล่ม เพิ่งข้ามไป น้ำจึงขุ่นไม่ควรจะดื่ม ครั้นพระองค์รับสั่งเป็นครั้งที่ 3 พระอานนท์จึงได้สติว่า ธรรมดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมตรัสแต่ในสิ่งที่มีสาเหตุเท่านั้น จึงนำบาตรไปยังแม่น้ำ เมื่อไปถึง ก็เกิดอัศจรรย์ใจที่น้ำในแม่น้ำกลับใสสะอาด พระเถรเจ้าได้ลงไป ตักน้ำน้อมไปถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เสวยตามประสงค์ ฯ
๕๔ ปางไสยาสน์ (Le Bouddha allongé)
พระพุทธรูปอยู่ในพระอริยาบถนอนตะแคงขวา พระบาททั้งสองข้างซ้อนทับเสมอกัน พระหัตถ์ซ้ายทาบไปตามพระวรกาย พระหัตถ์ขวาตั้นขึ้นรับพระเศียรและมีพระเขนย (หมอน) รองรับบางแบบพระเขนยวางอยู่ใต้พระกัจฉะ (รักแร้)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น